อาเมน (ศัพท์ยิว/ศัพท์โปรเตสแตนต์) หรือ เอเมน (ศัพท์คาทอลิก) หรือ อามีน (ศัพท์มุสลิม) (อังกฤษ: Amen /ɑːˈmɛn/ หรือ /eɪˈmɛn/; ฮีบรู: אָמֵן /ɑːˈmɛn/; กรีก: ἀμήν; อาหรับ: آمين ah-meen) เป็นคำประกาศยืนยัน ที่พบในคัมภีร์ฮีบรูและคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ ของศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ โดยมีความหมายว่า “ขอพระเจ้าทรงกระทำให้เป็นดังนั้น” ในศาสนายูดาห์ ใช้ในการกล่าวตอบกลับเมื่อจบคำอธิษฐาน ว่า อาเมน[5] และในศาสนาคริสต์ ได้นำคำว่า อาเมน ไปใช้ในการนมัสการพระเจ้าด้วย ในศาสนาอิสลาม มีการใช้คำว่า อามีน ในการจบคำละหมาด ซึ่งเป็นมาตรฐานของมุสลิมทั่วโลก คำว่าอามีนยังมีความหมายอีกว่า “แท้จริง” (Verily) และ “อย่างแท้จริง” (Truly) นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้เรียกขานที่แสดงถึงข้อตกลงที่เข้มแข็ง เช่น “อามีนสำหรับ…” เป็นต้น คำว่า อาเมน ปรากฏหลักฐานที่ค้นพบครั้งแรกว่ามีการใช้ในหนังสือกันดารวิถี ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเล่มของคัมภีร์ทานัคของโมเสส เขียนชึ้นในช่วงประมาณ 1405 ปีก่อนคริสตกาล โดยคริสต์ศาสนิกชนบางกลุ่มเชื่อว่า เป็นคำที่มีรากศัพท์เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ใช้ ตั้งแต่ยุคสมัยพระเจ้าทรงสร้างโลกแล้ว
พันธสัญญาใหม่ (กรีก: Καινή Διαθήκη; อังกฤษ: New Testament) หรือ พระคริสตธรรมใหม่ เป็นภาคที่สองของคัมภีร์ไบเบิล จากทั้งหมด 2 ภาค ประกอบด้วยหนังสือภาษากรีกทั้งสิ้น 27 เล่ม ส่วนใหญ่ผู้เขียนเป็นอัครทูตและนักบุญในช่วงเวลาเดียวกัน และทุกเล่มเขียนขึ้นหลังการตรึงพระเยซูที่กางเขน แม้ว่าพระเยซูจะไม่ได้ทรงเขียนด้วยพระองค์เอง แต่คริสต์ศาสนิกชนก็เชื่อว่าผู้เขียนได้เขียนขึ้นจากการดลใจและการทรงนำของพระเป็นเจ้าและพระเยซูผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนชาวมุสลิมแม้จะนับถือพระเยซูเป็นนบีอีซา แต่ก็ไม่ยอมรับคัมภีร์ไบเบิลในปัจจุบันว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า เพราะนักวิชาการอิสลามเห็นว่าคัมภีร์นี้ถูกตัดเสริมแต่งและสังคายนากันหลายครั้ง
รายชื่อหนังสือในภาคพันธสัญญาใหม่
ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ แบ่งหนังสือออกเป็น 5 หมวดใหญ่ ได้แก่
หมวดพระวรสาร (Gospels) ประกอบด้วย 4 เล่ม ว่าด้วย ประวัติพระเยซูคริสต์ และพระธรรมเทศนา
หมวดประวัติศาสตร์ (Historical book) ประกอบด้วย 1 เล่ม ว่าด้วย เหตุการณ์การเผยแพร่ของอัครสาวก
หมวดจดหมายของเปาโล (Pauline epistles) ประกอบด้วย 14 เล่ม ว่าด้วย พระธรรมเทศนาผ่านนักบุญเปาโล ในจดหมายถึงคริสตจักรต่างๆ
หมวดจดหมายทั่วไป (General epistles) ประกอบด้วย 7 เล่ม ว่าด้วย พระธรรมเทศนาผ่านนักบุญท่านอื่น ในจดหมายถึงคริสตจักรต่างๆ
หมวดวิวรณ์ (Revelation) ประกอบด้วย 1 เล่ม ว่าด้วย พยากรณ์การเสด็จมาในวันพิพากษา จากนิมิตของนักบุญยอห์น
คัมภีร์ไบเบิล หรือ พระคัมภีร์ (มาจากภาษากรีกโบราณว่า Βίβλος บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ บาป และแผนการของพระยาห์เวห์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture) คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ
พระศาสนจักรคาทอลิก (อังกฤษ: Catholic Church) หรือ คริสตจักรโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church) เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีศาสนิกชนกว่า 1.3 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2017 เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดที่ยังดำเนินกิจการอยู่ และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก พระสันตะปาปาทรงเป็นประมุขและปกครองศาสนจักรนี้ผ่านสันตะสำนัก ในศาสนจักรโรมันคาทอลิกประกอบด้วยคริสตจักรละตินและคริสตจักรคาทอลิกตะวันออก ชาวคาทอลิกเชื่อว่าพระเยซูมีพระมหาบัญชาตั้งศาสนจักรขึ้นให้เป็นหนึ่งเดียว ศักดิ์สิทธิ์ สากล และสืบมาจากอัครทูต ดยมีมุขนายกสืบทอดหน้าที่จากอัครทูต และพระสันตะปาปาสืบมาจากนักบุญเปโตร ซึ่งพระเยซูทรงยกเป็นเอกในบรรดาอัครทูต ศาสนจักรคาทอลิกให้ความสำคัญกับศีลมหาสนิทที่สุดในบรรดาศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และฉลองศีลนี้ในพิธีมิสซา โดยเชื่อว่าไวน์และปังที่บาทหลวงเสกในพิธีนี้จะเปลี่ยนสารเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซู และมีหลักคำสอนให้นับถือพระนางมารีย์พรหมจารีเป็นพระมารดาพระเจ้าและราชินีแห่งสวรรค์ นอกจากนี้ยังเชื่อในพระเมตตา การชำระให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ การประกาศพระวรสาร และทำงานเพื่อสังคม ศาสนจักรคาทอลิกจึงเป็นองค์กรเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดการศึกษาและบริการสุขภาพ ในประเทศไทยเรียกคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกว่า “คริสตัง”
ศาสนาคริสต์ (อังกฤษ: Christianity) ราชบัณฑิตยสถานเรียกว่า คริสต์ศาสนา เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ที่มีพื้นฐานมาจากชีวิตและการสอนของพระเยซูตามที่ปรากฏในพระวรสารในสารบบ (canonical gospel) และงานเขียนพันธสัญญาใหม่อื่น ๆ ผู้นับถือศาสนาคริสต์เรียกว่าคริสต์ศาสนิกชนหรือคริสตชน คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระผู้ไถ่ ด้วยเหตุนี้ คริสตชนจึงมักเรียกพระเยซูว่า “พระคริสต์” หรือ “พระเมสสิยาห์” ศาสนาคริสต์ปัจจุบันแบ่งเป็นสามนิกายใหญ่ คือ โรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และโปรเตสแตนต์ ซึ่งยังแบ่งนิกายย่อยได้อีกหลายนิกาย เขตอัครบิดรโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์แยกออกจากกันในช่วงศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก (East–West Schism) ใน ค.ศ. 1054 และนิกายโปรเตสแตนต์เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก