เทพีไดแอนา (อังกฤษ: Diana) หรือ ดีอานา (ละตินเก่า: Dīāna) ตามศาสนาโรมันและกรีกโบราณเป็นเทพกัญญาโรมัน โดยมากนับว่าเป็นอุปถัมภกของชนบท พราน ทางแพร่ง และดวงเดือน ถือว่าเป็นเหมือนอาร์ทิมิสและเฮคาทีในเทพปกรณัมกรีก โดยในช่วงประวัติศาสตร์โรมันตอนต้น ตำนานของไดแอนาได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากตำนานของอาร์ทิมิส เช่นเรื่องการกำเนิดบนเกาะดีลอส โดยมีจูปิเตอร์และลาโทนาเป็นบิดามารดา และมีอะพอลโลเป็นพี่น้องฝาแฝด แม้ว่าเดิมทีไดแอนามีจุดกำเนิดในอิตาลี ไม่ใช่กรีซ ปัจจุบันก็เป็นที่นับถือของศาสนาของขบวนการโรมันใหม่ (Nova Roma) และกลุ่มเวทมนตร์สเตรเกเรีย (Stregheria) นอกจากสัญลักษณ์ประจำตัว ป่าโอ้คก็มีความศักดิ์สิทธิ์ต่อไดแอนา และนางก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของพรหมจารี (chastity) โดยเป็นเทพกัญญาพรหมจารีและผู้พิทักษ์การคลอดลูก ในอดีตประกอบด้วยไตรเทพ โดยมีเทพเจ้าโรมันอีกสององค์คือ พรายน้ำเอเกเรีย ซึ่งเป็นคนรับใช้และรองนางผดุงครรภ์ของนาง อีกองค์หนึ่งคือ เทพเจ้าแห่งป่าไม้วีรบิอุสเกาะดีลอส (อังกฤษ: Delos /ˈdiːlɒs/; กรีก: Δήλος [ˈðilos]; Attic: Δῆλος, Doric: Δᾶλος) เป็นเกาะที่อยู่ใกล้กับเกาะมีโคนอส บริเวณตอนกลางของหมู่เกาะซิคละดีส เกาะถือเป็นสถานที่สำคัญด้านตำนาน ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ของประเทศกรีซ การค้นพบทางโบราณคดีบนเกาะถือเป็นการค้นพบครั้งใหญที่สุดแห่งหนึ่งในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยังมีการดำเนินงานอยู่ภายใต้การทำงานของโรงเรียนฝรั่งเศสแห่งเอเธนส์ (French School at Athens) วัตถุหลายชิ้นมีการจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีดีลอส (Archaeological Museum of Delos) และ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติกรุงเอเธนส์ (National Archaeological Museum of Athens)
ดีลอสเป็นตำแหน่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาร่วมพันปี ก่อนประมวลเรื่องปรัมปรากรีกจะกล่าวว่าเป็นสถานที่เกิดของอะพอลโลและอาร์เตมิสทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (อังกฤษ: Mediterranean Sea) เป็นทะเลระหว่างทวีป คั่นกลางทวีปยุโรปและดินแดนอานาโตเลียที่อยู่ทางเหนือ ทวีปแอฟริกาที่อยู่ทางใต้ และทวีปเอเชียที่อยู่ทางตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2.5 ล้านตารางกิโลเมตร (คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของพื้นผิวน้ำทะเลทั้งหมดในโลก) และมีส่วนที่เชื่อมต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติกผ่านทางช่องแคบยิบรัลตาร์ คำในภาษาอังกฤษ Mediterranean มาจากภาษาละติน mediterraneus หมายถึง ‘ภายในแผ่นดิน’ (medius ‘กลาง’ terra ‘แผ่นดิน, โลก’) ในภาษากรีกใช้ว่า “mesogeios” – จากคำกรีก μέσος (mésos) แปลว่า “ในท่ามกลาง”, และ γήινος (gḗinos) แปลว่า “แห่งแผ่นดิน” – ซึ่งแสดงถึงลักษณะทะเลที่มีแผ่นดินล้อมรอบ ตามหลักฐานทางธรณีวิทยาแล้ว ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถูกตัดออกจากมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อ 5.9 ล้านปีก่อน และอยู่ในภาวะระเหยแห้ง (dessicated) โดนสิ้นเชิงเป็นช่วงเวลานานราว 6 แสนปี หรือที่เรียกว่า วิกฤติระดับเกลือยุคเมสซิเนียน (Messinian Salinity Crisis) ก่อนที่จะถูกน้ำท่วมใหญ่เพิ่มระดับน้ำให้เต็มอีกครั้งในยุคซานคลีอัน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีความลึกเฉลี่ย 1,500 ม. (4,900 ฟุต) และจุดลึกสุดที่บันทึกไว้ คือ 5,267 ม. (17,280 ฟุต) ในร่องลึกคาลิปโซ (Calypso Deep) ในทะเลไอโอเนียน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถูกล้อมรอบด้วยชายฝั่งของทวีปยุโรปใต้ ชายฝั่งของเอเชียไมเนอร์ และชายฝั่งแอฟริกาเหนือ ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 30 °และ 46 ° N และลองจิจูด 6 ° W และ 36 ° E มีความยาวตามทิศตะวันตก – ตะวันออก เมื่อวัดจากช่องแคบยิบรอลตาร์ไปจนถึงอ่าว Iskenderun บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี อยู่ที่ประมาณ 4,000 กิโลเมตร ( 2,500 ไมล์) มีความยาวตามทิศเหนือ – ใต้โดยเฉลี่ยของทะเล วัดจากชายฝั่งทางใต้ของโครเอเชีย ถึงลิเบียประมาณ 800 กม. (500 ไมล์)
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเส้นทางที่สำคัญสำหรับพ่อค้าและนักเดินทางในสมัยโบราณ มันช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างผู้คนในภูมิภาค ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคในเมดิเตอร์เรเนียนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าใจต้นกำเนิดและการพัฒนาของอารยธรรมสมัยใหม่หลายแห่ง
สถานที่ตั้งที่สะดวกสบายของอาเซอร์ไบจานบนทางแยกของเส้นเลือดใหญ่ระหว่างประเทศเช่นเส้นทางสายไหมและทางเดินทิศใต้ – เหนือชี้ให้เห็นถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของภาคการขนส่งสำหรับเศรษฐกิจของประเทศ ภาคการขนส่งในประเทศ ได้แก่ ถนนทางรถไฟการบินและการขนส่งทางทะเล อาเซอร์ไบจานยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการขนส่งวัตถุดิบบากูทบิลิซี-Ceyhan ไปป์ไลน์ (BTC) กลายเป็นปฏิบัติการพฤษภาคม 2006 และขยายมากกว่า 1,774 กิโลเมตรผ่านดินแดนของอาเซอร์ไบจานจอร์เจียและตุรกี BTC ได้รับการออกแบบมาเพื่อขนส่งน้ำมันดิบมากถึง 50 ล้านตันต่อปีและขนส่งน้ำมันจากแหล่งน้ำมันในทะเลแคสเปียนไปยังตลาดโลก ใต้คอเคซัท่อส่งยังยืดผ่านดินแดนของอาเซอร์ไบจานจอร์เจียและตุรกีกลายเป็นการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2006 และข้อเสนอก๊าซเพิ่มเติมไปยังตลาดยุโรปจากการที่แหล่งก๊าซธรรมชาติ Shah Deniz Shah Deniz คาดว่าจะผลิตก๊าซธรรมชาติได้มากถึง 296 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อ อาเซอร์ไบจานยังมีบทบาทสำคัญในโครงการ Silk Road ที่สนับสนุนโดยสหภาพยุโรป ในปี 2545 รัฐบาลอาเซอร์ไบจันได้จัดตั้งกระทรวงคมนาคมโดยมีหน้าที่ด้านนโยบายและกฎระเบียบที่หลากหลาย ในปีเดียวกันประเทศที่เป็นสมาชิกของอนุสัญญากรุงเวียนนาการจราจรบนถนน ลำดับความสำคัญคือการยกระดับเครือข่ายการขนส่งและการปรับปรุงบริการการขนส่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการพัฒนาภาคอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ การก่อสร้างทางรถไฟคาร์ส – ทบิลิซิ – บากูในปี 2555 มีขึ้นเพื่อปรับปรุงการขนส่งระหว่างเอเชียและยุโรปโดยเชื่อมต่อทางรถไฟของจีนและคาซัคสถานทางตะวันออกกับระบบรถไฟของยุโรปทางตะวันตกผ่านตุรกี ในปี 2010 ทางรถไฟขนาดกว้างและทางรถไฟไฟฟ้ามีความยาว 2,918 กม. (1,813 ไมล์) และ 1,278 กม. (794 ไมล์) ตามลำดับ ภายในปี 2010 มีสนามบิน 35 แห่งและลานจอดเฮลิคอปเตอร์หนึ่งแห่ง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างสูงของอาเซอร์ไบจานได้รับการศึกษาระดับสูงบางรูปแบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคนิค ในยุคโซเวียตการรู้หนังสือและระดับการศึกษาโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมากจากจุดเริ่มต้นที่ต่ำมากแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงอักษรมาตรฐานสองตัวจากอักษรเปอร์โซ – อารบิกเป็นภาษาละตินในช่วงทศวรรษที่ 1920 และจากโรมันเป็นซิริลลิกในทศวรรษที่ 1930 ตามข้อมูลของสหภาพโซเวียตผู้ชายและผู้หญิง 100 เปอร์เซ็นต์ (อายุเก้าถึงสี่สิบเก้าปี) มีความรู้หนังสือในปี 1970 ตามรายงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติปี 2009 อัตราการรู้หนังสือในอาเซอร์ไบจานอยู่ที่ 99.5 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชหนึ่งในกฎหมายฉบับแรกที่รัฐสภาของอาเซอร์ไบจานผ่านเพื่อแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตคือการนำอักษรละตินที่ดัดแปลงมาใช้แทนซิริลลิก นอกเหนือจากนั้นระบบอาเซอร์ไบจันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพียงเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นได้รวมถึงการก่อตั้งการศึกษาศาสนาใหม่ (ถูกห้ามในช่วงโซเวียต) และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรที่ทำให้เกิดการใช้ภาษาอาเซอร์ไบจันอีกครั้งและได้กำจัดเนื้อหาทางอุดมการณ์ นอกจากโรงเรียนประถมแล้วสถาบันการศึกษายังรวมถึงโรงเรียนอนุบาลโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไปและโรงเรียนอาชีวศึกษาอีกหลายพันแห่งรวมถึงโรงเรียนมัธยมศึกษาเฉพาะทางและโรงเรียนเทคนิค การศึกษาถึงเกรดเก้าเป็นภาคบังคับ
ก่อนหน้าการบินผ่านดาวอังคารที่สำเร็จครั้งแรกของ มาริเนอร์ 4 เมื่อปี 1965 หลายคนคาดว่ามีน้ำในรูปของเหลวบนพื้นผิวดาวอังคาร แนวคิดนี้อาศัยผลต่างเป็นคาบที่สังเกตได้ของรอยมืดและรอยสว่าง โดยเฉพาะในละติจูดขั้วดาวซึ่งดูเป็นทะเลและทวีป บางคนแปลความรอยมืดริ้วลายขนานเป็นร่องทดน้ำสำหรับน้ำในรูปของเหลว ภายหลัง มีการอธิบายว่าภูมิประเทศเส้นตรงเหล่านั้นเป็นภาพลวงตา แม้ว่าหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ภารกิจไร้คนบังคับรวบรวมชี้ว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีน้ำปริมาณมากปกคลุมบนพื้นผิว ณ ช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะต้น ๆ ของอายุ ในปี 2005 เรดาร์เผยว่ามีน้ำแข็งน้ำ (water ice) ปริมาณมากขั้วทั้งสองของดาว และที่ละติจูดกลาง ยานสำรวจภาคพื้นดาวอังคารสปิริต พบตัวอย่างสารประกอบเคมีที่มีโมเลกุลน้ำเมื่อเดือนมีนาคม 2007 ส่วนลงจอดฟีนิกซ์ พบตัวอย่างน้ำแข็งน้ำโดยตรงในดินส่วนตื้นของดาวอังคารเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 200 มียานอวกาศที่กำลังปฏิบัติงานอยู่เจ็ดลำ ห้าลำอยู่ในวงโคจร ได้แก่ 2001 มาร์สโอดิสซี มาร์สเอ็กซ์เพรส มาร์สรีคอนเนสเซนซ์ออร์บิเตอร์ เมเว็น และมาร์สออร์บิเตอร์มิชชัน และสองลำบนพื้นผิว ได้แก่ ยานสำรวจภาคพื้นดาวอังคารออปพอร์ทูนิตี และยานมาร์สไซแอนซ์แลบอราทอรีคิวริออซิตี การสังเกตโดย มาร์สรีคอนเนสเซนซ์ออร์บิเตอร์ เปิดเผยว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีน้ำไหลในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดบนดาวอังคาร ในปี 2013 ยานคิวริออซิตี ของนาซาค้นพบว่าดินของดาวอังคารมีน้ำเป็นองค์ประกอบระหว่างร้อยละ 1.5 ถึง 3 โดยมวล แม้ว่าน้ำนั้นจะติดอยู่กับสารประกอบอื่น ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยอิสระ
กำลังมีการสืบค้นเพื่อประเมินศักยภาพความสามารถอยู่อาศัยได้ในอดีตของดาวอังคาร ตลอดจนความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ มีการสืบค้นบริเวณนั้นโดยส่วนลงจอด ไวกิง โรเวอร์ สปิริต และออปพอร์ทูนิตี ส่วนลงจอดฟีนิกซ์ และโรเวอร์ คิวริออซิตี มีการวางแผนภารกิจทางชีวดาราศาสตร์ไว้แล้ว ซึ่งรวม มาร์ส 2020 และเอ็กโซมาร์สโรเวอร์