Daily Archives: January 4, 2022

พระแม่มารีคาลเตลฟรังโค (จอร์โจเน)

การทำเครื่องหมายกางเขน หรือที่ชาวคาทอลิกเรียกว่า การทำสำคัญมหากางเขน (อังกฤษ: Sign of the Cross; ละติน: Signum Crucis) เป็นรูปแบบการปฏิบัติอย่างหนึ่งของผู้นับถือศาสนาคริสต์ โดยมักมีการกล่าว “เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน” ประกอบด้วย การทำเช่นนี้เป็นการระลึกถึงการตรึงกางเขนของพระเยซู แบบดั้งเดิมทำจากขวาไปซ้าย ซึ่งใช้โดยสมาชิกคริสตจักรอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์และคริสตจักรคาทอลิกตะวันออก ส่วนแบบใหม่ทำจากซ้ายไปขวาใช้โดยคริสตจักรคาทอลิก แองกลิคัน ลูเทอแรน และโอเรียนทัลออร์โธด็อกซ์ ธรรมเนียมปฏิบัตินี้สันนิษฐานว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แล้ว

jumbo jili


ความสำคัญ เพราะว่าเวลาทำเครื่องหมายกางเขนจะต้องกล่าวเดชะพระนามฯ ด้วย การทำเช่นนี้จึงเป็นการแสดงความเชื่อถึงพระตรีเอกภาพว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความหมายอื่น ๆ หลายประการด้วยกัน คือ เป็นการแสดงว่าตัวผู้ทำนั้นถวายตัวแก่พระเยซู เป็นการวิงวอนขอพระหรรษทานจากพระเจ้า และใช้เป็นการอวยพรบุคคลก็ได้ นอกจากนี้เวลาชาวคริสต์รู้สึกว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับ “การผจญของมาร” การทำเครื่องหมายกางเขนเป็นการเตือนสติแก่ตนและยืนยันถึงพระอานุภาพของพระเจ้าในการต่อสู้กับสิ่งชั่ว ชาวคริสต์ทำเครื่องหมายนี้เมื่อร่วมสวดมนต์ ส่วนบาทหลวงเวลาประกอบพิธีมิสซาหรือพิธีอื่น ๆ ก็ทำเครื่องหมายนี้เช่นเดียวกัน การทำเครื่องหมายกางเขนของนิกายออร์ทอดอกซ์ การทำเครื่องหมายกางเขนของชาวคริสเตียนออร์ทอดอกซ์เป็นการระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า และพระตรีเอกภาพ โดยจะนำนิ้วมือของมือขวามาประจบกัน แล้วจะแนบนิ้วนาง และนิ้วก้อยให้ชิดกับฝ่ามือ

สล็อต


ความหมายของการทำเครื่องหมายกางเขนของนิกายออร์ทอดอกซ์ สามนิ้วแรก (นิ้วโป้ง, นิ้วชี้ และนิ้วกลาง) จะแสดงถึงความเชื่อต่อพระบิดา พระบุตร และพระจิตเจ้า และยังหมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวของพระตรีเอกภาพอีกด้วย และสองนิ้วที่เหลือจะแสดงถึงธรรมชาติของพระเยซูคือพระเยซูเจ้าทรงมีความเป็นมนุษย์แท้ และพระเจ้าแท้ ในการทำสัญลักษณ์ไม้กางเขน จะใช้มือของแตะที่หน้าผาก, ท้อง (หรือบริเวณสะดือ), และไหล่ขวาซ้าย โดยความหมายของการแตะหน้าผาก คือการให้ศีลพรแห่งความศักดิ์สิทธิ์แก่จิตใจ ท้อง คือการให้ศีลพรแห่งความศักดิ์สิทธิ์แก่ประสาทสัมผัสภายใน หัวใหล่ด้านขวาซ้าย คือการให้ศีลพรแห่งความศักดิ์สิทธิ์แก่ความแข็งแรงของร่างกาย

สล็อตออนไลน์


การกล่าวถึงพระตรีเอกภาพ (อังกฤษ: Trinitarian formula) ว่า “ในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ศัพท์โปรเตสแตนต์) หรือ “เดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต” (ศัพท์โรมันคาทอลิก) (อังกฤษ: In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit; ละติน: in nomine Patris, et Filii, et Spiritus Sancti; กรีก: εἰς τὸ ὄνομα τοῦ Πατρὸς καὶ τοῦ Υἱοῦ καὶ τοῦ Ἁγίου Πνεύματος) มีที่มาจากพระวรสารนักบุญมัทธิว ความว่า “เพราะ‍ฉะนั้น ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​จง​ออก​ไป​และ​นำ​ชน​ทุก​ชาติ​มา​เป็น​สาวก​ของ​เรา จง​บัพ‌ติศ‌มา​พวก‍เขา​ใน​พระ‍นาม​ของ​พระ‍บิดา พระ‍บุตร และ​พระ‍วิญ‌ญาณ‍บริ‌สุทธิ์” คริสต์ศาสนิกชนกล่าวคำนี้ในโอกาส เช่น การอธิษฐาน ในการประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ เช่น พิธีบัพติศมา และการทำเครื่องหมายกางเขน หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ได้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนบทนี้เนื่องจากคิดว่าเป็นการยกย่องเพศชายแต่ฝ่ายเดียว ทั้งที่จริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงไม่มีเพศ บางกลุ่มเลือกที่จะใช้ “ในนามพระผู้สร้าง พระผู้ไถ่ และพระผู้ทำให้บริสุทธิ์” ทั้งนี้คริสตจักรโรมันคาทอลิกและคริสตจักรตะวันออกบางแห่งถือว่าเป็นการไม่ถูกต้อง

jumboslot


การตรึงพระเยซูที่กางเขน (อังกฤษ: Crucifixion of Jesus) เป็นเหตุการณ์ในชีวิตของพระเยซูที่ถูกบันทึกในพระวรสารทั้งสี่ฉบับ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่พระเยซูถูกจับและถูกพิพากษา ในทางเทววิทยาศาสนาคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นเหตุการณ์หัวใจสำคัญ ส่งอิทธิพลให้เกิดเหตุการณ์อื่น ๆ ต่อเนื่องมา นอกจากนั้นการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ก็เป็นสัญลักษณ์สำคัญทางปรัชญาความเชื่อ เป็นการเสียชีวิตของผู้ที่มาช่วยโลก เห็นได้จากการรับทรมานและความตายของพระเมสสิยาห์เพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ ตามด้วยพันธสัญญาใหม่ที่กล่าวถึง การคืนชีพในสามวันหลังจากสิ้นพระชนม์ และทรงปรากฏพระกายต่ออัครทูตก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์

slot

พระแม่มารีคอนเนสตาบิเล

กฎหมายศาสนจักร กฎหมายศาสนจักร (อังกฤษ: Canon law) เป็นคำที่หมายถึงกฎหมายทางการปกครองภายในองค์การคริสเตียนรวมถึงบรรดาสมาชิก โดยเฉพาะในคริสตจักรโรมันคาทอลิก อีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ และแองกลิคัน กฎที่ใช้ในการปกครองเป็นกฎที่ได้รับการอนุมัติ หรือตีความหมายเมื่อมีข้อขัดแย้งซึ่งแต่ละคริสตจักรก็จะมองกันคนละแง่ ตามปกติแล้วการอนุมัติก็จะทำโดยสภาสังคายนาสากลก่อนที่จะนำไปปฏิบัติในคริสตจักรโดยทั่วไป

jumbo jili


พระศาสนจักรคาทอลิก (อังกฤษ: Catholic Church) หรือ คริสตจักรโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church) เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีศาสนิกชนกว่า 1.3 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2017 เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดที่ยังดำเนินกิจการอยู่ และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก พระสันตะปาปาทรงเป็นประมุขและปกครองศาสนจักรนี้ผ่านสันตะสำนัก ในศาสนจักรโรมันคาทอลิกประกอบด้วยคริสตจักรละตินและคริสตจักรคาทอลิกตะวันออก ชาวคาทอลิกเชื่อว่าพระเยซูมีพระมหาบัญชาตั้งศาสนจักรขึ้นให้เป็นหนึ่งเดียว ศักดิ์สิทธิ์ สากล และสืบมาจากอัครทูต ดยมีมุขนายกสืบทอดหน้าที่จากอัครทูต และพระสันตะปาปาสืบมาจากนักบุญเปโตร ซึ่งพระเยซูทรงยกเป็นเอกในบรรดาอัครทูต ศาสนจักรคาทอลิกให้ความสำคัญกับศีลมหาสนิทที่สุดในบรรดาศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และฉลองศีลนี้ในพิธีมิสซา โดยเชื่อว่าไวน์และปังที่บาทหลวงเสกในพิธีนี้จะเปลี่ยนสารเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซู และมีหลักคำสอนให้นับถือพระนางมารีย์พรหมจารีเป็นพระมารดาพระเจ้าและราชินีแห่งสวรรค์ นอกจากนี้ยังเชื่อในพระเมตตา การชำระให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ การประกาศพระวรสาร และทำงานเพื่อสังคม ศาสนจักรคาทอลิกจึงเป็นองค์กรเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดการศึกษาและบริการสุขภาพ ในประเทศไทยเรียกคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกว่า “คริสตัง”

สล็อต


คริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ (อังกฤษ: Eastern Orthodox Church) เรียกโดยย่อว่าคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ (The Orthodox Church) หรือคริสตจักรไบแซนไทน์ (The Byzantine Church) เป็นคริสตจักรที่ใหญ่เป็นอันดับสองในโลก คริสตจักรนี้ปฏิบัติตามหลักการทางเทววิทยาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยศาสนาคริสต์ยุคแรก ศาสนจักรนี้เชื่อว่าคริสตจักรออร์โธด็อกซ์เป็นคริสตจักรแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่ก่อตั้งโดยพระผู้เป็นเจ้า โดยสืบเนื่องมาจากอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ออร์ทอดอกซ์ (Orthodox) หมายความว่า หลักคำสอนที่ถูกต้อง ซึ่งมาจากภาษากรีกคือ orthos แปลว่าถูกต้อง และ doxa แปลว่าคำสอน เมื่อในช่วงศาสนาคริสต์ยุคแรก ได้มีการเผยแพร่หลักคำสอนที่ผิด ซึ่งจะทำให้เกิดความผิดเพี้ยนของศาสนาจักร ซึ่งทางศาสนจักรออร์ทอดอกซ์ จึงได้เรียกตนเองว่าออร์ทอดอกซ์ เพื่อความเป็นศาสนจักรดั้งเดิม และต่อต้านหลักคำสอนนอกรีต อาจจะทำให้เกิดความแตกแยก

สล็อตออนไลน์


ในศาสนาคริสต์ สภาสังคายนาสากล (อังกฤษ: Ecumenical council หรือ oecumenical council หรือ general council) คือการประชุมบรรดามุขนายกและนักเทววิทยาศาสนาคริสต์จากคริสตจักรทั่วโลก เพื่อสังคายนาหรือหาข้อตกลงร่วมกันในเรื่องหลักความเชื่อและการปฏิบัติที่ขัดแย้งกันอยู่ในขณะนั้น คำว่า “Οικουμένη” เป็นภาษากรีกแปลว่า “โลกที่อยู่อาศัย” หรือในความหมายแคบคือจักรวรรดิโรมันนั่นเอง เพราะการประชุมในสมัยแรก ๆ ริเริ่มโดยจักรพรรดิโรมัน แต่ต่อมาคำนี้ก็นำมาใช้กันโดยทั่วไปในความหมายที่หมายถึง “คริสตจักร” หรือประชาคมคริสต์ศาสนิกชน “ทั่วโลก” หรือในแต่ละนิกายในศาสนาคริสต์ สภาสังคายนาครั้งสุดท้ายที่เป็นที่ยอมรับจากทั้งฝ่ายโรมันคาทอลิกและออร์ทออดกซ์คือสังคายนาไนเซียครั้งที่สองปี ค.ศ. 787 ซึ่งถือเป็นสังคายนาครั้งที่ 7 ฉะนั้นสภาสังคายนาสากลเจ็ดครั้งแรกนี้จึงมีความสำคัญเพราะผลจากการประชุมทั้ง 7 ครั้งนั้นก็ที่เป็นที่ยอมรับกันในหลายนิกายที่รวมทั้งฝ่ายโปรเตสแตนต์ด้วย ฉะนั้นตามความคิดเห็นสมัยใหม่การประชุมสภาสังคายนา หรือ “Ecumenical council” ที่แท้จริงก็คือการประชุมทั้ง 7 ครั้งแรกที่กล่าวนี้เท่านั้น “สภาควินิเซ็กซท์” (Quinisext Council) ไม่เป็นที่ยอมรับว่าเป็น “สังคายนาแห่งควินนิเซ็กซท์” โดยโรมันคาทอลิกแต่อีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ถือว่าเป็น “สภาสังคายนา” หรือที่เรียกว่าการประชุมสังคายนาแห่งคอนสแตนติโนเปิลครั้งที่ 3 เมื่อปี ค.ศ. 680 (Third Council of Constantinople)

jumboslot


การปฏิรูปคาทอลิก (อังกฤษ: Catholic Reformation) หรือการปฏิรูปคู่เคียง (อังกฤษ: Counter-Reformation) หรือการฟื้นฟูคาทอลิก (อังกฤษ: Catholic Revival)[3] เป็นช่วงระยะเวลาฟื้นฟูคริสตจักรโรมันคาทอลิกภายใต้การนำของสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 4 ระหว่างปี ค.ศ. 1560 จนถึงปี ค.ศ. 1648 ในตอนปลายสงครามสามสิบปี การปฏิรูปศาสนาเป็นโครงการที่ครอบคลุมทุกด้านที่ประกอบด้วย
หลักการและปรัชญา
โครงสร้างทางศาสนา
คณะนักบวชคาทอลิก
กระบวนการทางความศรัทธา
ความสัมพันธ์ทางการเมือง
การปฏิรูปที่ว่ารวมทั้งการวางพื้นฐานในการก่อตั้งเซมินารี เพื่อให้มีการฝึกผู้ที่จะเป็นนักบวชอย่างเป็นระเบียบแบบแผนทั้งในด้านความศรัทธาและทางด้านเทววิทยาของคริสตจักร ส่วนการปฏิรูปทางด้านลัทธินิกายก็เป็นการพยายามหันกลับไปสู่จุดหมายดั้งเดิมของการก่อตั้ง การปฏิรูปด้านความศรัทธาเป็นการเน้นการอุทิศตนทางด้านความศรัทธาและความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลกับพระเยซู

slot

พระแม่มารีกับไม้ปั่นด้าย

Primus inter pares ( กรีกโบราณ: Πρῶτος μεταξὺ ἴσων , prōtos metaxỳ ísōn ) เป็นวลีใน ภาษาละติน มีความหมายคือ ผู้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เท่าเทียมกัน หรือ ผู้เป็นเอกในบรรดาผู้เท่าเทียมกันทั้งปวง โดยทั่วไปจะใช้เป็นตำแหน่งทางกิตติมศักดิ์สำหรับบุคคลในฐานะที่เท่ากันกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มหรือคณะ แต่ได้รับความเคารพอย่างไม่เป็นทางการตามธรรมเนียมเนื่องจากระดับ อาวุโส ของพวกเขา ในทางประวัติศาสตร์ สมาชิกเอกแห่งวุฒิสภา ของ วุฒิสภาโรมัน จะเป็นผู้เป็นหนึ่งในบรรดาสมาชิกวุฒิสภา และได้รับอภิสิทธิ์ในการพูดเป็นคนแรกของการอภิปราย อีกทั้งมีอำนาจในการเรียกประชุมวุฒิสภาได้ นอกจากนี้ คอนสแตนตินมหาราช ก็ได้รับบทบาทของ primus inter pares อย่างไรก็ตามคำนี้มักจะใช้เพื่อ ประชดประชัน หรือ การรังเกียจตัวเอง โดยผู้นำที่มีสถานะที่สูงขึ้นมากในรูปแบบของ ความเคารพ ความสนิทสนมกัน หรือ การโฆษณาชวนเชื่อ หลังจากการ ล่มสลายของสาธารณรัฐ จักรพรรดิโรมัน ในสมัยแรกเรียกตัวเองว่าเป็น ผู้เป็นหนึ่ง ผู้มีอภิสิทธิ์ในชีวิตและความตายเหนือ “เหล่าประชาราษฎร์” และปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในฐานะของ ประธานระบบกองหนุนสหพันธ์สำรองของสหรัฐอเมริกา, นายกรัฐมนตรี ของ ประเทศในระบบรัฐสภา, ประธานสภาแห่งรัฐแห่งสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์, ประธานศาลสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา, หัวหน้าผู้พิพากษาของประเทศฟิลิปปินส์, อัครมุขนายกแห่งแคนเทอเบอรี่ แห่ง แองกลิคันคอมมิวเนียน และ อัครบิดรสากลแห่งคริสตจักรออโธด็อกซ์ตะวันออก ของ นิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์

jumbo jili


การใช้ในชาติต่างๆ ใน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างผู้ที่เป็นผู้นำแบบกลุ่มคณะของ คณะกรรมาธิการโปลิตบูโร ซึ่ง เติ้งเสี่ยวผิง เป็นผู้นำมาใช้โดยเกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของ เหมาเจ๋อตง คำว่า “ผู้เป็นหนึ่งที่เท่าเทียมกัน” มักใช้เพื่ออธิบายถึง ผู้นำที่สูงสุด ของจีน สิ่งนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากการรวมอำนาจภายใต้ ผู้นำหลัก ปัจจุบันคือ สี จิ้นผิง การใช้ภายในเครือจักรภพ นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเอก ในรัฐสหพันธ์ที่อยู่ภายในเครือรัฐจักรภพ, ทั้ง แคนาดา และ ออสเตรเลีย ซึ่งใน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็น ประมุขแห่งรัฐ ผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมี ผู้สำเร็จราชการ หรือ ผู้ต่างพระเนตรพระกรรณในพระองค์ ได้รับการแต่งตั้งจาก สภาองคมนตรีในสมเด็จฯ เพื่อเป็นตัวแทนของสมเด็จพระราชินี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักจะแต่งตั้งผู้นำพรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งอย่างน้อยในการเลือกตั้งของสภานิติบัญญัติเป็น นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ รัฐมนตรีในพระองค์ คนอื่น ๆ คือ primus inter pares หรือ “ผู้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เท่าเทียมกัน” และจะมีการกระทำเช่นเดียวในระดับภาคมณฑลหรือระดับรัฐ โดยรองผู้สำเร็จราชการแห่งมณฑลต่างๆในแคนาดาหรือผู้ว่าการในรัฐต่างๆของออสเตรเลีย ในฐานะรองผู้สำเร็จราชการในสภาองคมนตรีฯ มีอำนาจแต่งตั้งผู้นำพรรคในระดับมณฑลหรือรัฐที่มีที่นั่งในสภานิติบัญญัติประจำรัฐหรือมณฑลเป็นขั้นต่ำในขึ้นมาเป็น รัฐมนตรีเอกมณฑลหรือรัฐมนตรีเอกแห่งรัฐ

สล็อต


อุปราช ในแคนาดาและออสเตรเลีย ในฐานะที่เป็น รัฐราชาธิปไตยแบบสหพันธ์ ใน แคนาดา รองผู้สำเร็จราชการในพระองค์ ผู้เป็นตัวแทนของ พระมหากษัตริย์แคนาดา ในแต่ละมณฑลจะทำหน้าที่เป็น “ประมุขแห่งรัฐ” ในมณฑลต่างๆ และไม่เหมือนใน ประเทศออสเตรเลีย กับ ผู้สำเร็จราชการในพระองค์ประจำรัฐของออสเตรเลีย รองผู้ว่าการในแคนาดาไม่ได้รับการแต่งตั้งจากสภาองคมนตรี แต่โดย ผู้สำเร็จราชการแคนาดาตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีแคนาดา เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สำเร็จราชการในคำแนะนำของสภาองคมนตรี ในทำนองเดียวกันกับในประเทศออสเตรเลียมีผู้ว่าราชการเป็นตัวแทนของ พระมหากษัตริย์ออสเตรเลีย ในแต่ละรัฐของออสเตรเลีย ที่ประกอบด้วยเครือจักรภพแห่งชาติของออสเตรเลียทำให้พวกเขา เป็น”ประมุขแห่งรัฐ”ในแต่ละรัฐของตัวเอง ในแต่ละกรณีผู้สำเร็จราชการหรือรองผู้สำเร็จราชการหลายท่านไม่ได้มองว่าได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าหลวงใหญ่ทั้งใน ข้าหลวงใหญ่แห่งออสเตรเลีย และ ข้าหลวงใหญ่แห่งแคนาดา – แต่ในฐานะอุปราชสหพันธ์ – คือหนึ่งในบรรดาผู้เท่าเทียมกันทั้งปวง

สล็อตออนไลน์


วุฒิสภาโรมัน (ละติน: Senatvs Romanvs) เป็นสถาบันทางการเมืองของโรมันโบราณที่ก่อตั้งก่อนที่กษัตริย์แห่งโรมพระองค์แรกจะขึ้นครองราชย์ (ที่กล่าวกันว่าเป็นเวลา 753 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ระบบนี้รอดการล่มสลายของราชอาณาจักรโรมันเมื่อ 509 ปีก่อนคริสต์ศักราช, การล่มสลายของสาธารณรัฐโรมันเมื่อ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช และการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปี ค.ศ. 476 ระหว่างสมัยราชอาณาจักร วุฒิสภาเป็นเพียงคณะที่ปรึกษาของกษัตริย์ ซึ่งต่อมากษัตริย์แห่งโรมองค์สุดท้ายผู้โหดร้ายลูกิอุส ตาร์กวินิอุส ซุแปร์บุส (Lucius Tarquinius Superbus) ถูกโค่นอำนาจโดยวุฒิสภาที่นำโดยลูซิอัส จูนิอัส บรูตัส (Lucius Junius Brutus) ระหว่างตอนต้นของสมัยสาธารณรัฐโรมัน วุฒิสภาเป็นสถาบันทางการเมืองที่อ่อนแอ ขณะที่ผู้บริหารระบบยุติธรรมเป็นผู้มีอำนาจ การเปลี่ยนแปลงอำนาจจากระบอบกษัตริย์มาเป็นระบอบธรรมนูญการปกครองอาจจะกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป และเป็นเวลาอีกหลายชั่วคนก่อนที่ระบบวุฒิสภาจะมามีอำนาจเหนือผู้บริหารระบบยุติธรรม เมื่อมาถึงกลางสมัยสาธารณรัฐ วุฒิสภาก็มีอำนาจสูงสุด เมื่อมาถึงปลายสมัยสาธารณรัฐ อำนาจของวุฒิสภาก็ลดลงอีกเนื่องจากเกิดการปฏิรูปพี่น้องกราคัส — ไทบีเรียส กราคัส และกาเอียส กราคัส

jumboslot


อย่างไรก็ตาม วุฒิสภาสมัยจักรวรรดิโรมันไม่เหมือนกับวุฒิสภาสมัยสาธารณรัฐตรงที่ไม่มีความอิสระทางการเมืองแต่ขึ้นกับจักรพรรดิ ซึ่งทำให้สูญเสียความมีเกียรติศักดิ์และในที่สุดก็อำนาจแทบทั้งหมด หลังจากมีการปฏิรูปทางรัฐธรรมนูญโดยจักรพรรดิไดโอคลีเชียน วุฒิสภาก็หมดความหมายทางการเมืองและหลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้อำนาจที่เคยมีคืนมา เมื่อรัฐบาลย้ายออกจากกรุงโรม วุฒิสภาก็ลดลงเป็นเพียงสถาบันท้องถิ่น สถานภาพนี้ได้รับการยืนยันโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เมื่อทรงก่อตั้งวุฒิสภาไบแซนไทน์ในคอนสแตนติโนเปิล เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายในปี ค.ศ. 476 วุฒิสภาก็ทำหน้าที่ต่อมาอยู่ระยะหนึ่งภายใต้การปกครองของอนารยชนก่อนที่จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งในรัชสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แต่ในที่สุดก็ยุติลง แต่วุฒิสภายังคงมีอยู่ในคอนสแตนติโนเปิลจนกระทั่งมายุติลงในที่สุดเช่นกัน

slot

แม่พระแห่งดอกคาร์เนชัน

จดหมายถึงชาวฮีบรู (อังกฤษ: Epistle to the Hebrews) เป็นหนังสือเล่มที่ 19 ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ หนังสือเล่มนี้แต่แรกเป็นจดหมายขนาดยาวที่ถูกเขียนถึงชาวฮีบรู ผู้เขียนไม่ได้ระบุชื่อตนเองว่าเป็นใคร ซึ่งการทำเช่นนั้นแสดงว่า ผู้รับจดหมายชาวฮีบรูต้องรู้จักผู้เขียนเป็นอย่างดี และจากเนื้อหาในจดหมายที่กล่าวถึงคำสอนในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมด้วยนั้น แสดงว่าผู้เขียนเป็นผู้มีการศึกษาและเข้าใจในเรื่องราวเหล่านั้นดี ประกอบกับผู้เขียนมีความสนิทสนมกับทิโมธีด้วย ทำให้ในยุคแรกเชื่อกันว่านักบุญเปาโลอัครทูต น่าจะเป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ แต่หลังจากการปฏิรูปแล้ว มีข้อโต้แย้งว่า ผู้เขียนไม่น่าจะเป็นเปาโล เพราะสไตล์การเขียนจดหมายของนักบุญเปาโล ไม่ใช่แบบที่อยู่ในจดหมายฉบับนี้ อาจจะเป็นอปอลโลมากกว่า ซึ่งอปอลโลก็มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันได้แน่นอนว่าผู้เขียนเป็นใคร ส่วนช่วงเวลาในการเขียนน่าอยู่ในราวปี ค.ศ. 70 คือก่อนที่กรุงเยรูซาเลมจะล่มสลาย

jumbo jili


คริสตจักรยุคแรกถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจากชาวยิวที่ไม่เชื่อพระเยซู ผู้รับจดหมายฉบับนี้ในยุคนั้นน่าจะเป็นชาวยิวที่กลับใจเป็นคริสเตียน แต่กำลังถูกกดดันอย่างหนัก จนคิดว่าจะละทิ้งความเชื่อและกลับไปประพฤติตามศาสนายูดาห์เหมือนเดิม ผู้เขียนจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อกระตุ้นให้ยึดมั่นในความเชื่อต่อไป เนื้อหาหลักในหนังสือฮีบรูคือ ความสมบูรณ์ของพระเยซู ในฐานะผู้เปิดเผยและผู้นำมาซึ่งพระคุณของพระเจ้า ในพระเยซูทุกสิ่งทุกอย่างบริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดอื่นอีก หนังสือฮีบรูถูกเรียกว่า “หนังสือของสิ่งประเสริฐกว่า” เพราะในจดหมายฉบับนี้ มีการใช้คำที่มีความหมายว่า “ประเสริฐกว่า” หรือ “ดีกว่า” ถึง 15 ครั้ง หนังสือฮีบรูมีจุดประสงค์อยู่ 4 ประการ โดยประการแรกสำคัญที่สุดคือ ต้องการให้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซู มีเพียงแค่พระเยซูเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ผู้เขียนแสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซู โดยการเปรียบเทียบกับผู้ยิ่งใหญ่อื่น ๆ เช่น มหาปุโรหิต โมเสส หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ก็ไม่อาจจะเปรียบเทียบความยิ่งใหญ่กับพระเยซูได้ ประการที่สองคือ ต้องการให้ยึดมั่นในความเชื่อต่อไป แม้ว่าจะถูกกดขี่ข่มเหงก็ตาม ผู้เขียนยกตัวอย่างบุคคลในอดีตที่มีชื่อเสียงดีด้านความเชื่อ เช่น โนอาห์ อับราฮัม โมเสส เป็นต้น ผู้เขียนกล่าวต่อไปอีกว่า บางคนเสียชีวิตไปทั้งที่ยังไม่ได้รับอะไรตอบแทนจากความเชื่อนั้น แต่ก็ยังคงความเชื่ออยู่ เพราะมั่นใจว่าพระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้ให้ ประการที่สามคือ ต้องการอธิบายให้เข้าใจถึงสาเหตุที่พระเจ้าตีสอน อาจจะมีผู้เชื่อบางคนที่ละทิ้งความเชื่อเพราะถูกพระเจ้าตีสอน แต่ผู้เขียนกำลังบอกผู้อ่านว่า “ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะ เพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง” ประการสุดท้ายเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตให้พระเจ้าทรงพอพระทัย ในส่วนท้ายนี้ตรงไปตรงมา เข้าใจได้ไม่ยาก เช่น เน้นให้รักกันฉันพี่น้อง อย่าล่วงประเวณี อย่าเห็นแก่เงิน เป็นต้น

สล็อต


คัมภีร์ไบเบิล หรือ พระคัมภีร์ (มาจากภาษากรีกโบราณว่า Βίβλος บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ บาป และแผนการของพระยาห์เวห์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture) คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ

สล็อตออนไลน์


ศาสนาคริสต์ (อังกฤษ: Christianity) ราชบัณฑิตยสถานเรียกว่า คริสต์ศาสนา เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ที่มีพื้นฐานมาจากชีวิตและการสอนของพระเยซูตามที่ปรากฏในพระวรสารในสารบบ (canonical gospel) และงานเขียนพันธสัญญาใหม่อื่น ๆ ผู้นับถือศาสนาคริสต์เรียกว่าคริสต์ศาสนิกชนหรือคริสตชน คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระผู้ไถ่ ด้วยเหตุนี้ คริสตชนจึงมักเรียกพระเยซูว่า “พระคริสต์” หรือ “พระเมสสิยาห์” ศาสนาคริสต์ปัจจุบันแบ่งเป็นสามนิกายใหญ่ คือ โรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และโปรเตสแตนต์ ซึ่งยังแบ่งนิกายย่อยได้อีกหลายนิกาย เขตอัครบิดรโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์แยกออกจากกันในช่วงศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก (East–West Schism) ใน ค.ศ. 1054 และนิกายโปรเตสแตนต์เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก

jumboslot


พระเยซู (อังกฤษ: Jesus) หรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ (อังกฤษ: Jesus of Nazareth; 4-2 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 30-33) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกพระองค์ว่า พระเยซูคริสต์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ นอกจากนี้ในคัมภีร์ไบเบิลยังบันทึกว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ทรงรักษาคนตาบอดให้หายขาด รักษาคนพิการ โดยตรัสว่า บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายหลังสิ้นพระชนม์ได้เพียง 3 วัน และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ชาวมุสลิมก็ให้ความเคารพพระเยซูเช่นกัน แต่เชื่อต่างจากชาวคริสต์ โดยชาวมุสลิมเรียกพระเยซูว่านบีอีซา คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่าพระเยซูไม่ใช่ทั้งพระเจ้าและพระบุตรของพระเจ้า แต่เป็นบ่าวคนหนึ่งของพระเจ้า และเป็นเราะซูลที่พระเจ้าส่งมาเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมให้แก่ชาวอิสราเอลเช่นเดียวกับเราะซูลอื่น ๆ นอกจากนี้กุรอานยังอ้างว่าพระเยซูได้ทำนายถึงเราะซูลอีกท่านหนึ่งที่จะมาในอนาคตด้วยว่าชื่ออะหมัด

slot