เทพเมอร์คิวรี (อังกฤษ: Mercury, ละติน: Mercurius) เป็นเทพในตำนานเทพปกรณัมโรมันที่เทียบเท่ากับเทพเฮอร์มีสในตำนานเทพปกรณัมกรีก เทพเมอร์คิวรีเป็นเทพผู้สื่อสาร และเทพแห่งการค้าขายและผลกำไร เมอร์คิวรีเป็นลูกของเทพีมาเอีย (Maia) หรือที่รู้จักกันว่าอ็อฟสและเทพจูปิเตอร์ ชื่อ “เมอร์คิวรี” เกี่ยวกับคำภาษาละตินว่า “merx” ที่เป็นรากของคำว่า “merchandise” (สินค้า) หรือ “merchant” (พ่อค้า) หรือ “commerce” (การค้า) ที่มาของเมอร์คิวรีดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเทพเทิร์มส (Turms) ของอีทรัสคันที่มาจากเทพเฮอร์มีสของกรีกไดอะไนซัส (อังกฤษ: Dionysus, /daɪ.əˈnaɪsəs/; กรีกโบราณ: Διόνυσος, Dionysos) เป็นเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวองุ่น การทำไวน์และไวน์ ความบ้าคลั่งทางพิธีกรรมและปีติศานติ์ในเทพปกรณัมกรีก พระนามของพระองค์ในแผ่นจารึกอักษรไลเนียร์บี แสดงว่าชาวกรีกไมซีเนียนอาจมีการบูชาพระองค์ตั้งแต่ประมาณ 1,500–1,100 ปีก่อน ค.ศ. ร่องรอยลัทธิประเภทไดอะไนเซียพบได้ในอารยธรรมไมนวนบนเกาะครี จุดกำเนิดของพระองค์นั้นไม่แน่ชัด และลัทธิของพระองค์มีหลายรูปแบบ แหล่งข้อมูลโบราณบางแหล่งอธิบายว่าเป็นของชาวเทรซ บางแหล่งก็อธิบายว่าเป็นของชาวกรีก ในบางลัทธิ พระองค์มาจากทางตะวันออก โดยเป็นพระเจ้าเอเชีย ในลัทธิอื่น พระองค์มาจากเอธิโอเปียทางใต้ พระองค์เป็นเทพเจ้าแห่งการสำแดงอย่างเทพเจ้า (epiphany) และ “ความเป็นต่างประเทศ” ของพระองค์ที่เป็นพระเจ้าที่มาจากต่างแดนอาจสืบทอดและสำคัญต่อลัทธิของพระองค์ พระองค์เป็นพระเจ้าหลักและได้รับความนิยมในเทพปกรณัมและศาสนากรีก และรวมอยู่ในรายพระนามเทวสภาโอลิมปัสบ้าง ไดอะไนซัสเป็นพระเจ้าพระองค์สุดท้ายที่ได้รับการยอมรับเข้าสู่ยอดเขาโอลิมปัส พระองค์เป็นพระเจ้าองค์ที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดและเป็นพระองค์เดียวที่ประสูติแก่มารดาที่เป็นมนุษย์ เทศกาลของพระองค์เป็นแรงผลักดันเบื้องหลังการพัฒนาการละครกรีก พระองค์เป็นตัวอย่างของพระเจ้าที่กำลังสวรรคต (dying god)
พระองค์มีอีกพระนามหนึ่งว่า แบคัส (อังกฤษ: Bacchus, /ˈbækəs/ หรือ /ˈbɑːkəs/; กรีก: Βάκχος, Bakkhos) ซึ่งเป็นพระนามที่ชาวโรมันรับไป ช่อกระจุกแยกแขนง (thyrsus) ของพระองค์บางครั้งมีเถาไม้เลื้อยพันและมีน้ำผึ้งไหลเป็นหยด ซึ่งเป็นไม้ถือที่มีประโยชน์ แต่ยังเป็นอาวุธได้ด้วย และสามารถใช้ทำลายผู้ที่ต่อต้านลัทธิของพระองค์และเสรีภาพซึ่งพระองค์เป็นตัวแทน พระองค์ยังทรงถูกเรียกว่า ผู้ปลดปล่อย (Liberator) ที่ปลดปล่อยส่วนลึกของตนเองโดยทำให้คลั่ง หรือให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ หรือด้วยเหล้าองุ่น หน้าที่ของไดอะไนซัสคือเป็นผู้สร้างดนตรีออโลส (aulos) และยุติความกังวล นักวิชาการถกกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไดอะไนซัสกับ “คตินิยมเกี่ยวกับวิญญาณ” และความสามารถในการติดต่อระหว่างผู้ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ตายไปแล้ว อารยธรรมไมนอส (อังกฤษ: Minoan civilization) เป็นวัฒนธรรมของยุคสำริดที่เกิดขึ้นในครีต อารยธรรมไมนอสรุ่งเรืองระหว่างราวศตวรรษที่ 27 จนถึงกลางศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากนั้นอารยธรรมไมซีนี (Mycenaean civilization) ก็เข้ามาแทนที่ อารยธรรมไมนอสพบเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษชื่อเซอร์อาร์เธอร์ อีแวนส์ ตามคำกล่าวของวิลล์ ดูรันต์วัฒนธรรมครีตไมนอสมีตำแหน่งในประวัติศาสตร์ว่าเป็น “สิ่งแรกที่เชื่อมวัฒนธรรมยุโรปชนของไมนอสจะเรียกตนเองว่าอย่างไรนั้นไม่เป็นที่ทราบแต่คำว่า “Minoan” (ไมนวน) ที่ใช้เรียกชื่อวัฒนธรรมในยุคที่กล่าวเป็นคำที่คิดขึ้นโดยอีแวนส์ โดยแผลงมาจาก “Minos” (ไมนอส) ซึ่งเป็นพระนามของพระมหากษัตริย์ในตำนานเทพเจ้ากรีก ไมนอสเกี่ยวข้องกับตำนานวงกต (labyrinth) ที่อีแวนส์พบว่าเป็นที่ตั้งของคนอสซอส บางครั้งก็มีการโต้แย้งกันว่าคำว่าชื่อสถานที่ “Keftiu” ของอียิปต์โบราณ หรือ “Kaftor” ของภาษาเซมีติก หรือ “Kaptara” ของมารี ต่างก็หมายถึงเกาะครีต ใน “โอดิสซีย์” ที่ประพันธ์หลายร้อยปีหลังจากที่อารยธรรมไมนอสถูกทำลายไปแล้ว โฮเมอร์เรียกชนที่อาศัยอยู่บนเกาะว่า “อีทีโอเครทัน” (Eteocretan) หรือ “ครีตแท้” ที่อาจจะเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากชนไมนอสก็เป็นได้
พระราชวังของไมนอสที่ได้รับการขุดพบเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญเพราะลักษณะการก่อสร้าง เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการบริหารที่เห็นได้จากบันทึกเอกสารจำนวนมากที่พบโดยนักโบราณคดี พระราชวังแต่ละแห่งที่พบต่างก็มีลักษณะต่างกันออกไปที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์และมักจะเป็นสิ่งก่อสร้างหลายชั้นโดยมีบันไดทั้งภายในและภายนอกอาคาร คอลัมน์ขนาดยักษ์ และลานภายในอาคาร จักรวรรดิโรมันเคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษและเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียงของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้จักรวรรดิโรมันได้รวบรวมตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณชายฝั่งทะเลซี่งในปัจจุบันคือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของยิบรอลตาร์ ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันเรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมันได้เริ่มมานานตั้งแต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจัน ด้วยชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ. 106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครองแผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum “ทะเลของเรา” อิทธิพลของโรมันได้ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สถาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและระบบการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมิวลุส ออกุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453 นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งแยกช่วงการปกครองของจักรวรรดิโรมันเป็นสมัยผู้นำ (Principate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิออกุสตุสจนถึงวิกฤติการณ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 และสมัยครอบงำ (dominate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิไดโอคลีเชียนจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งในสมัยผู้นำ จักรพรรดิจะมีอำนาจอยู่เบื้องหลังการปกครองแบบสาธารณรัฐ แต่ในสมัยครอบงำ อำนาจของจักรพรรดิได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ด้วยมงกุฎทองและพิธีกรรมที่หรูหรา และเมื่อเร็วๆ นี้ นักประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่ารูปแบบการปกครองนี้ได้ใช้ต่อจนถึงช่วงเวลาของจักรวรรดิไบแซนไทน์
ในสมัยกรีกโบราณประติมากรรมเฉพาะหัวใช้เป็นสิ่งป้องกันความชั่วร้ายที่มักจะตั้งตรงทางแพร่ง, พรมแดนของประเทศ หรือ เขตแดนป้องกัน ก่อนหน้าที่จะกลายมาเป็นสิ่งที่พิทักษ์พ่อค้าและนักเดินทางเฮอร์มีสเป็นเทพเจ้าที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์, การมีโชค, เส้นทาง และ เขตแดน ชื่อของเทพเฮอร์มีสมาจากคำว่า “herma” (พหูพจน์ “hermai”) ที่หมายถึงเสาสี่เหลี่ยมที่ทำด้วยหิน, ดินเหนียว หรือ สัมริด ที่มีประติมากรรมครึ่งตัวของหัวของเฮอร์มีสที่มักจะมีหนวด[1] อยู่บนหัวเสาและอวัยวะเพศชายที่ฐาน เสาเฮอร์มาใช้เป็นเครื่องหมายบนถนน หรือ เขตแดน ในเอเธนส์ก็จะมีการตั้งประติมากรรมเฉพาะหัวไว้หน้าบ้านเพื่อขจัดภัยที่จะเข้ามาในบ้านและนำความโชคดีมาให้เจ้าของ อวัยวะเพศชายบนเสาก็จะได้รับการถู การรดด้วยน้ำมันมะกอกเพื่อให้โชคดี